ราคาทองฟิวเจอร์ร่วงใกล้หลุด $1,960 นลท.แห่ขายทอง หลังคลายกังวลแบงก์

ราคาทองฟิวเจอร์ร่วงลงเกือบ 1% ใกล้หลุดระดับ 1,960 ดอลลาร์ ขณะที่นักลงทุนขายทองในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย หลังคลายกังวลต่อวิกฤตภาคธนาคารสหรัฐ

นอกจากนี้ ราคาทองถูกกดดันจากแรงขายทำกำไร หลังราคาพุ่งขึ้นอย่างมากก่อนหน้านี้

ณ เวลา 20.23 น.ตามเวลาไทย สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนเม.ย. ลบ 19.0 ดอลลาร์ หรือ 0.96% สู่ระดับ 1,963.80 ดอลลาร์/ออนซ์

นักลงทุนคลายความกังวล หลังจากที่นางเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ กล่าวว่า ระบบธนาคารของสหรัฐมีเสถียรภาพ หลังจากที่ทางการสหรัฐออกมาตรการสกัดวิกฤตสภาพคล่องก่อนหน้านี้ และรัฐบาลพร้อมดำเนินการมากขึ้น หากพบว่าวิกฤตการณ์ลุกลามออกไป

นอกจากนี้ รัฐมนตรีคลังสหรัฐกล่าวว่า การที่ธนาคารขนาดใหญ่ของสหรัฐอัดฉีดเม็ดเงินในรูปเงินฝากจำนวน 3 หมื่นล้านดอลลาร์เข้าสู่ธนาคารเฟิร์สท์ รีพับลิค แบงก์ (First Republic Bank) หรือ FRB ถือเป็นการแสดงความเชื่อมั่นต่อระบบธนาคารของสหรัฐ

นางเยลเลนกล่าวถ้อยแถลงดังกล่าว หลังมีข่าวว่า กระทรวงการคลังสหรัฐกำลังศึกษาแนวทางในการทำให้บรรษัทค้ำประกันเงินฝากของรัฐบาลกลางสหรัฐ (FDIC) สามารถคุ้มครองเงินฝากได้ทั้ง 100% จากปัจจุบันที่ให้การคุ้มครองไม่เกิน 250,000 ดอลลาร์

นักลงทุนจับตาธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งจะเริ่มการประชุมนโยบายการเงินในวันนี้ และจะแถลงผลการประชุมในวันพรุ่งนี้

การเงิน ราคาทองฟิวเจอร์

ผลการสำรวจนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เชื่อว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมรอบนี้ ซึ่งจะเป็นการแสดงความเชื่อมั่นของเฟดว่าสามารถรับมือวิกฤตการณ์ในระบบธนาคารขณะนี้ และเฟดจะยังคงให้ความสำคัญต่อการสกัดเงินเฟ้อ แม้มีสัญญาณการชะลอตัว แต่ก็ยังคงสูงกว่าเป้าหมายของเฟดที่ระดับ 2%

“เราคาดว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในวันพรุ่งนี้ โดยเราไม่คิดว่าภาวะไร้เสถียรภาพในระบบการเงินจะเป็นเหตุผลเพียงพอที่จะทำให้เฟดคงดอกเบี้ย เมื่อพิจารณาถึงความเสี่ยงที่ว่าเฟดจะสูญเสียความเชื่อมั่นในการต่อสู้กับเงินเฟ้อ ซึ่งเฟดต้องการที่จะรักษาเอาไว้” นักวิเคราะห์จากเจฟเฟอรรี ไฟแนนเชียล กรุ๊ปกล่าว

ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 84.9% ที่เฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.75-5.00% ในการประชุมวันที่ 21-22 มี.ค. และให้น้ำหนักเพียง 15.1% ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ย

การเงินแนะนำ>>>>AA&P ส่องเทรนด์ลงทุนส่งท้ายปี 65 แนะบจ.ใช้นวัตกรรมทางการเงินสู้ศึกปีหน้า

AA&P ส่องเทรนด์ลงทุนส่งท้ายปี 65 แนะบจ.ใช้นวัตกรรมทางการเงินสู้ศึกปีหน้า

AA&P ชี้เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย ตลาดการเงิน-ตลาดทุนความผันผวนต่อเนื่อง ควรใช้นวัตกรรมเครื่องมือทางการเงินให้เหมาะสม

นายพรพุทธ ริจิรวนิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท แอดไวเซอรี่ อัลไลแอนซ์ แอนด์ พาร์ทเนอร์ส จำกัด หรือ “AA&P” บริษัทที่ปรึกษาทางการเงิน เปิดเผยว่า จากแนวโน้มภาพรวมเศรษฐกิจโลกในยุคปัจจุบัน มีแนวโน้มเข้าสู่ภาวะถดถอย โดยจะเห็นได้จากภาคการลงทุนในตลาดเงินและตลาดทุนที่มีการผันผวนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลมาจากตัวแปรในหลายๆปัจจัยที่เข้ามากระทบต่อภาคการลงทุน จนส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินในช่วงที่ผ่านมา

จากภาวะเงินเฟ้อที่ส่งผลให้หลายประเทศทั่วโลกมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อสกัดกั้นความร้อนแรง ส่งผลให้ภาพรวมการลงทุนในประเทศไทยตลอดปี 2565 มีความผันผวนในทุกสินทรัพย์ อาทิ หุ้น พันธบัตร คริปโทเคอร์เรนซี ทองคำ ค่าเงิน และมองว่าความผันผวนดังกล่าวยังคงต่อเนื่องไปจนถึงปี 2566

ข่าวการเงินวันนี้

​“แนวโน้มการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบายของประเทศไทย ยังคงมีต่อเนื่องให้เห็นในระยะ 2-3 ปีต่อจากนี้ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนทางการเงินของกลุ่มบริษัทที่จดทะเบียนรวมถึงผลประกอบการของกลุ่มบริษัทดังกล่าวและภาระหนี้ที่มีอยู่ อาจส่งผลให้หลายบริษัทจดทะเบียนต้องระมัดระวังการลงทุนมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กดังนั้นด้วยภาวะการลงทุนในลักษณะนี้ ยิ่งต้องทำให้กลุ่มบริษัทจดทะเบียนต้องเลือกใช้เครื่องมือทางการเงินให้เหมาะสม เพื่อให้ได้เม็ดเงินสำหรับการขยายการลงทุนได้ให้คุ้มค่าและสร้างผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นให้ได้มากที่สุด”

ในฐานะที่ปรึกษาและผู้เชี่ยวชาญด้านงานการเงิน AA&P มองว่า จากแนวโน้มการปรับตัวเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ย ส่งผลให้กลุ่มบริษัทจดทะเบียน หันมาให้ความสำคัญในเรื่องบริหารความเสี่ยง บริหารต้นทุนทางการเงิน รวมถึงการนำเครื่องมือทางการเงินมาใช้เพื่อรองรับการขยายการลงทุนของบริษัท ในการสร้างมูลค่าเพิ่มและศักยภาพทางธุรกิจให้ความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น เพื่อสร้างความได้เปรียบทางธุรกิจและการแข่งขัน AA&P จึงมองเห็นโอกาสในช่วงภาวะการณ์แบบนี้ บริษัทจดทะเบียนควรต้องเร่งหาเครื่องมือทางการเงินเพื่อเร่งพัฒนาธุรกิจให้ยั่งยืน เพื่อเตรียมความพร้อมสู่การกลับมาของภาคการลงทุนในปี 2566 ที่คาดว่าเม็ดเงินจากต่างประเทศจะไหลกลับเข้ามาในประเทศไทยดังนั้นหากกลุ่มผู้ประกอบการบริษัทจดทะเบียนโดยเฉพาะขนาดกลางและขนาดเล็ก สามารถปรับตัวและมีฐานการเงินที่แข็งแกร่งก็ย่อมได้เปรียบ

ทั้งนี้ จากภาพรวมที่กล่าวมา ด้วยประสบการณ์จากธุรกิจที่ปรึกษาทางการเงินของAA&P จึงเข้าใจดีว่ากลุ่มบริษัทจดทะเบียนและนักลงทุนต้องการอะไร เนื่อง AA&P เป็นผู้นำในการสร้างนวัตกรรมเครื่องมือทางการเงิน ที่มุ่งเน้นออกแบบเครื่องมือทางการเงินที่เหมาะกับพื้นฐานของธุรกิจในแต่ละบริษัทและช่วงเวลาที่เหมาะสม ดังนั้น AA&P จึงมีความแตกต่างด้วยความสามารถในการใช้เครื่องมือทางการเงิน ทั้งตราสารทุน และตราสารหนี้ ในการระดมทุนให้เหมาะกับกลุ่มบริษัทจดทะเบียนขนาดกลางและขนาดเล็ก ด้วยรูปแบบการบริการจัดทำแผนกลยุทธ์ในตลาดทุน (Capital Market Strategy) และความร่วมมือในฐานะพาร์ทเนอร์คู่คิดทางการเงินกับบริษัทจดทะเบียน (Strategic Financial Partner) ที่ตั้งเป้าหมายผลักดันการออกและเสนอขาย “หุ้นกู้แปลงสภาพ (CB)” ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนทางการเงิน เป็นทางเลือกใหม่ในการระดมทุน ให้กับบริษัทจดทะเบียนและสร้างโอกาสเข้าถึงการลงทุนหุ้นกู้ให้กับนักลงทุนไทย